วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทางตัน

บ่อยบ่อยในชีวิต
เราก็ก้มหน้าก้มตาเดิน
เพื่อจะไป..ไป..ไป..และไป
ไปให้ถึงจุดหมาย(อย่างรวดเร็ว)

การมองของเรา
บางทีก็เห็นเพียง
พื้นที่เล็กเล็ก
หน้าเราไป...เพียงไม่กี่ก้าว
กว่าที่เราจะหยุด
และสำรวจทางที่เดิน ว่า... ใช่หรือไม่
เราก็ไปไกลเสียแล้ว

เพราะบ่อยบ่อย
ที่เราก็มันใจในทางที่เราเลือกเดิน
จนเราลืม... ลืมที่จะอ่าน
เครื่องหมาย ลืมที่จะดูป้ายจราจร
หรือดูป้ายบอกทางไป
รู้ตัวอีกที จุดหมายก็ไกลออกไป
หรือ ไม่ก็ชีวิตก็ถึงทางตันไปแล้ว

"สัญญาณแห่งกาลเวลา" ที่พระประทานให้
เป็นสิ่งที่เราละเลยไม่ได้จริงจริง

แต่ใช่ว่า ทางตันจะเลวร้ายหนิเนอะ
ใครใครก็พลาดได้ ใครใครก็หลงทางเป็น
ดีออกซะอีกด้วย เราจะได้ระมัดระวังมากขึ้น
ในการจะก้าวต่อต่อไป เพื่อจะได้ถึงจุดหมาย


คิดซะว่าโอกาสยังดี ที่เรายังถอยหลังได้
เพราะหลายคนไม่มีโอกาส รู้ด้วยซ้ำไปว่า
ตัวเองกำลังหลงทาง หรือ กำลังถึงทางตัน
ซ้ำร้ายกลับมุ่งมั่น มั่นใจ ที่จะเอาหัวชนกำแพงต่อไป
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็บอบช้ำมากมาย มากมายจริงจริง

เป็นกำลังใจให้ทุกคน
ที่พบทางตันของชีวิต
ขอให้อ่านสัญญาณของกาลเวลา
เครื่องหมายที่จะนำไปสู่เป้าหมายออกได้ไวไวละกัน

"ขอให้มีพระในชีวิต และมีความรักนำทาง"

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทฤษฎีรัก

วันนี้มีเวลาว่างนิดหน่อยช่วงเช้า
เลยเปิดไปตามไฟว์ของคนที่รู้จักมักจี่ด้วย
อ่านหลายหลาย journal ก็ได้ข้อคิดดีดีมากมาย
หลายอันก็เห็นด้วย หลายอันก็เห็นต่าง
เช้านี้ ไปสะดุดอยู่กับ journal อันนึง
ที่เขาเขียนถึง
"ทฤษฎีทำร้ายคนรัก"

ด้วยความสัตย์จริง...
ไม่ได้ ไม่เห็นด้วยกับวิธีการเขียน
วิธีการคิดของเจ้าของ journal นั้นนะ
แต่แอบไม่เห็นด้วยกับเจ้าของทฤษฎีนี้
(ในมุมที่คนเขียน journal เอามาถ่ายทอดนะ)

เพราะว่าเรารู้สึกตะหงิดตะหงิดนิดหน่อย
แล้วอย่างนั้น หมายความว่า
คนที่ทำร้ายกัน เค้ารักกันเหรอ
แบบ...
(อย่ายกตัวอย่างเลย ช่วงนี้บ้านเมืองยิ่งหน้าสิ่ว
หน้าขวานอยู่ ต้องวางตัวเป็นกลาง)
เพราะถ้าไม่ได้เป็น "คนรัก" ของกันและกัน
เค้าคงไม่ทำร้ายกันใช่เปล่า???


โดยส่วนตัว เรารู้สึกว่า "ทฤษฎีทำร้ายคนรัก"
เป็นแค่ทฤษฎีจริงจริง เป็นจริงไม่ได้หรอก
เพราะถ้ารักกันจริง คงไม่ทำร้ายกันหรอก
ทฤษฎีที่น่าจะเกิดขึ้นได้มากกว่าน่าจะเป็น
"ทฤษฎีของคนไม่รักกัน"
หรือ "ทฤษฎีของคนรักไม่เป็น" มากกว่า
เพราะคนที่รักกัน เค้าไม่ทำแบบนี้ (เหมือนเพลงยังไงไม่รู้)

ดังนั้น (เด๋วจะหาว่าวิพากษ์อย่างเดียว)
เราเสนอว่า ไม่ว่าจะทฤษฎีไหนที่อาจจะเกิดขึ้น
บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ในกรณีนี้
จะไม่เกิดขึ้นเลย หากเรารู้จัก "ทฤษฎีรักแท้"

คงจะมีคำถามตามมาว่า...
"แล้วมันอยู่ที่ไหน?? หละ 'รักแท้' ตัวนี้"

ในมุมมองของเรา..
ชายคนหนึ่งที่เค้าเรียกตัวเองว่าเป็น "ความรัก"
ได้อธิบายไว้แล้ว และศิษย์ของเค้าก็ได้ย้ำอีก
ใน "ความหมายของรักแท้" ลองเปิดพระคัมภีร์ดูดิ
(ไม่ใช่ไม่อยากบอกนะ แต่...
ถ้าอยากรักเป็นก็ออกแรงกันหน่อยนะ
จะได้พิสูจน์ว่า รักเรามันมีค่าแค่ไหน??)
และมันก็จะเป็นจริงได้ถ้า...
มันอยู่ที่สมอง ที่จะต้องลงมาที่ใจ และไปสู่มือ


ปล.ใครที่หาไม่เจอจริงจริง
ติดต่อมา เด๋วจะบอกให้ละกัน

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

~คำแม่ พูดไม่เยอะ~

อาทิตย์ที่แล้ว
มีเหตุให้ต้องไปพบผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
แต่เนื่องจากรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
ว่าจะติดภารกิจในวันที่นัด
จึงเดินทางเพื่อไปพบก่อน
และถามถึงความเป็นไปได้
ที่จะขอเลื่อนประชุม

แต่ท่านผู้ใหญ่ท่านนั้น
ก็หนักแน่นมากว่าไม่ให้เลื่อน
และจะต้องยกเลิกงานที่รับอยู่ก่อนแล้ว
(ไม่ลงในรายละเอียดละกันนะ)
เอาเป็นว่าที่สุดแล้ว ก็ตกลงได้ว่า
ไม่ต้องยกเลิกงาน แต่เลื่อนวันประชุม
ไปเป็นวันถัดไป ตอนสิบโมง

จากที่ที่บ้านเราไป
กับที่จะต้องไปพบ
ก็นับว่าไกลโข่อยู่

วันนัดเราก็ออกแต่เช้า
เพราะกลัวรถจะติด
แล้วก็จะไปช้ากว่านัด

พอไปถึงปั๊บ คุยได้ประมาณสองนาที
จบข่าว เพราะท่านจำประเด็นที่จะคุยด้วยไม่ได้
ทั้งทั้งที่วันนั้น(วันที่เราไปขอเลื่อนนัดอะ)
ก็ว่าเราเป็นวักเป็นเวรว่า ไม่เป็นผู้ใหญ่
ไม่รับผิดชอบนู่นนี่ เพราะต้องมีหลายเรื่องที่ต้องตัดสินใจ
ที่ต้องลงความเห็นร่วมกัน ทำไมไม่ให้ความสำคัญ
พอเอาเข้าจริงกลับไม่พูดเรื่องที่พูดถึงเลย

งานที่เรารับ ก้อรับก่อนที่ท่านจะนัด
นัดกันก่อนเป็นเดือน ไปเลื่อนนัด เราก็ไปด้วยตัวเอง
คิดเหมือนกันนะว่า คงจะได้ผลสรุปกับการประชุม
แต่ก้อไม่ได้อะไรเลย แค่พูดกับเราแค่สองนาที
แค่นั้นจริงจริง เดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบ 6 ชม.

วันนั้นหงุดหงิดใจมาก ว่าเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไรวะ
คนแบบนี้ เป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไงวะ ไม่เข้าใจ

กลับมาบ้าน เจอแม่ บ่นให้แม่ฟัง
แม่ฟังจนจบ ตอบกลับประโยคเดียว
"เค้ารักมรึงมาก คงอยากเจอมรึง
ให้หายคิดถึง ไปคิดอะไรมาก"
วันนี้แอบงอนแม่นิดนิด แม่ไม่เข้าใจลูก

อาทิตย์ผ่านไป
วันนี้อาบน้ำประโยคที่แม่บอก
ดันแว่บเข้ามาในหัว
อาจจะจริง ที่แม่เป็นคนมองโลกในแง่ดี
แต่ทำไม กรูไม่ได้เชื้อการมองโลกนี้มาจากแม่เลยวะ

ขอบคุณแม่ที่ทำให้ได้สติ แม้จะช้าไปเป็นอาทิตย์ก็ตาม

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รักนอกใจ

"..ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น.."
เป็นหนังเกี่ยวกับความรักอีกเรื่องหนึ่ง
ที่หนังจบ..แต่..อารมณ์ไม่จบ

เป็นเหตุให้.. เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
เงินในกระเป๋าจำนวนหนึ่งต้องมีอันเป็นไป
เพราะตั้งใจไว้นานแล้วว่า...
ถ้าออกแผ่น จะต้องเป็นเจ้าของมันให้ได้

สองจากสี่ตอนในหนังเรื่องนี้
ตรงกับชีวิตจริงของเรามักมาก
คือ
รักเพื่อน และ รักนอกใจ

แต่เมื่อได้มีโอกาสแชร์กับเพื่อนเพื่อน
ทำให้ได้ข้อสรุปกับตัวเอง ว่า...
ที่ชอบมากที่สุดคงเป็นตอน 'รักนอกใจ'
(ขอยืนยันว่า ไม่ใช่เพราะ...
'น้องอ้อย'-AOI แน่นอน)555+
...แต่ชอบเพราะเรื่องราวจิงจิง

ตอนดูก็นั่งดูแบบตลกตลก ไม่คิดมาก
แต่...
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่าง เหิร กับ นวล
อันเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
ที่ผูกพันกันถึงสี่ปีในชีวิตมหาวิทยาลัย
กลับต้องมาจบลง เพราะตัวแปรเพียงสองตัว
คือ..
ระยะทางที่ห่างของเวลาและหัวใจ...
แม้ในตอนจบ จะลงเอยแบบมีความหวัง
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตจริง..
บทสรุปของความสัมพันธ์จะจบได้แบบนี้หรือเปล่า?

ทำให้ต้องย้อนกลับมามองว่า
ระยะทางของ'เรา'กับ'พระ'ห่างกันหรือเปล่า?
และกี่ครั้งแล้วที่เรานอกใจพระองค์ไป...

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2551

intensive relationship

ตอนนี้...
เรียนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น
เรียนอยู่ศูนย์ภาษา พักอยู่บ้านสวน
เข้าสวดและร่วมมิสซาที่บ้านเณร

Course ที่เรียนกัน เป็นแบบ intensive จริงจริง
เรียนกันห้าคน กับอาจารย์ห้าคน ในห้องใหญ่ใหญ่
วันวันต้องอยู่กับภาษาอังกฤษอย่างน้อยหกชั่วโมง
เหนื่อยหน่อยแต่ก็สนุกดี กับประสบการณ์ใหม่นี้
ทำให้รู้สึกว่าตัวเราเอง ยังโง่ได้อีก ยังเรียนรู้ได้อีก

วันนี้ มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จักกันจะชวนไปทานข้าว
บอกเค้าว่า "พี่จะเลี้ยงไหวหรือเปล่า?"
พี่เค้าว่า "แค่น้องพี่คนเดียว ทำไมพี่จะเลี้ยงไม่ไหว"


เราก็เลยตอบไปแบบที่อยากให้พี่เค้าคิดต่อ กวนกวนตามสไตล์เรา

"แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ เพราะว่าผม..."
"บ้าหนะ แกอย่าบอกนะว่าแกออกแล้ว" น้ำเสียงพี่เค้าดูตกใจน่าดู
เห็นหน้าพี่เค้าแล้ว ก็ต้องตอบแบบยิ้มยิ้มว่า "ยังไม่ออกพี่..."
สีหน้าพี่ดูดีขึ้น "แล้ว...ทำไมไม่ได้อยู่คนเดียวอะแก"
"อ้าว.. ก็ผมอยู่กับเพื่อนอีกตั้งห้าคน ถ้าจะเลี้ยงผมก็ต้องเลี้ยงเพื่อนด้วยดิ"
ทันใดแกก็ถึงบางอ้อ "อ๋อฉันรู้แล้ว... กวนจริงจริงนะแกเนี๊ยะ"
สรุปที่สุด ก็ไม่ได้ไป เพราะว่าเวลาว่างยังไม่ตรงกัน
(อยากบอกพี่ว่า ไม่เป็นไรโอกาสอื่นยังมี)

อันที่จริง ตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวจริงจริง (แม้ว่าจะต้องนอนคนเดียว)
แต่อยู่กับเพื่อนสนิทกลุ่มนี้ (บราเดอร์เณรใหญ่กรุงเทพฯปีอภิบาลปีนี้)
จะว่าไปแล้วเราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่มอสี่ ที่บ้านเณรเล็ก
ผูกพันกันมาก็ร่วมร่วมสิบกว่าปีแล้วหละ

แต่รอบนี้ เป็นการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไป
เพราะว่าเราต้องอยู่ร่วมกัน และก็มีกันอยู่แค่ห้าคนจริงจริง
แม้ว่าจะมีการได้พบปะผู้คนอยู่เรื่อยเรื่อย
แต่เวลาส่วนใหญ่
ก็ยังคงเป็นเวลาที่เราใช้อยู่ด้วยกันอยู่ดี
รู้สึกลึกลึกว่า เราใกล้ชิดกันในความสัมพันธ์กันมากขึ้น
ทั้งทั้งที่ก็มากอยู่แล้ว เราเรียนรู้กันมากขึ้น
นี่คือสาเหตุที่ไม่ได้บอกพี่เค้าไปว่า ไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว
ตอนนั้น... บอกไปอาจจะดูกวนกวน แต่ก็รู้สึกอย่างนั้นจริงจริง
(ยังไงก็ตามถือโอกาสบอกตอนนี้เลยละกัน)

และเมื่อลองนึกทบทวนดู
พระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ อยู่ด้วยกันแค่สามปี
แต่ความสัมพันธ์กับหยั่งลึกและผูกพันมากมาย
ถึงขนาดยอมตายแทนกันได้
ทำให้เกิดคำถามกับตัวเองว่า...
"สิบกว่าปีแล้วนะ กล้าตายแทนมันได้ยังว่ะ"

ขอบคุณพระเจ้าที่จัดเตรียมแผนการณ์นี้สำหรับเรา
ขอบคุณเพื่อนเอท เพื่อนมะ เพื่อนเอ้ และเพื่อนแมกซ์
ตั้งใจแล้วว่า อีกครึ่งเดือนที่เหลืออยู่ยังไม่สายไป
ที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันดีดี เขียนเสร็จรู้สึกอุ่นอุ่นที่เบ้าตายังไงไม่รู้
ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งจากจริงใจ จากใจจริง กับคำว่า "เพื่อน" ที่มีให้กัน

ปล. ใครพลาดที่จะบอกเพื่อนไป
หรือเคยมีประสบการณ์ก็แชร์กันมาได้นะ
อยากฟังการแบ่งปันจากทุกคนนะ
อย่าลืม! ลงลึกในความสัมพันธ์กับเพื่อนด้วยนะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2551

~ไม่เคยลืม~

วันก่อนนู้น...
ไปเดินตลาดแถวแถวนี้
บังเอิญว่า ไปเจอน้องคนหนึ่ง
แว่บแรกที่หันไปเห็นจะจะ
มั่นใจทันทีเลยว่า "กูรู้จัก"

แต่หลังจากที่คิดได้ว่า รู้จักแล้ว...
คำถามที่ตามมาคือ ใครวะ???

ช่วงนี้เป็นอย่างนี้ประจำ ประจำจริงจริง
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า...
ทำไม!จำได้ว่ารู้จัก
แต่กลับจำไม่ได้ว่า...เป็นใคร?

ใครที่เคยอยู่ในช่วงเวลาแบบนั้นคงเข้าใจอาการนี้ดี

จะทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ได้
แต่...ถ้าจะบอกว่าจำไม่ได้
น้องเค้าเสียความรู้สึกน่าดู

"..เด้อจำหนูได้ป่ะ???"
"(นึกอยู่นานมาก)........ ใช่ไหม เด้อจำได้น่า"
"โอ้โฮ อุตส่าห์จำหนูได้ นึกว่าเด้อจะจำหนูไม่ได้แล้วหละ"
"ไม่ใช่ว่าอุตส่าห์จำได้นะ แต่เพราะไม่เคยจะลืมต่างหาก"
"โอ้โห...เด้อ เน่ามากมากอะ 5555+"
แอบดีใจเหมือนกัน ที่วันนั้นทักน้องคนนั้นไม่ผิด
ไม่ได้จำว่าได้คุยอะไรกันต่ออีกบ้าง
จำได้แต่ว่า น้องเค้ารู้สึกดีมากมากที่เราไม่ลืมเค้า

มานั่งนึกถึงตัวเองเหมือนกัน
ถ้าใครสักคนที่เราคิดว่ารู้จักดี หรือว่าเค้ารู้จักเราดี
เกิดจำเราไม่ได้ขึ้นมาบ้างในบางเวลา
ถึงตอนนั้น... เราจะรู้สึกอย่างไร???

ทำให้ได้ตั้งใจกับตัวเองว่า...
ต่อไปนี้ จะไปหาmemoryดีดีสักสี่จิ๊กกะไบต์มาใส่หัว (ไม่ใช่!!)
จะได้ไม่ทำให้ลืมว่าเคยรู้จักใครบ้าง
ไม่ทำให้ลืมว่าเค้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร?

เพราะว่า...
พระเจ้าเองพระองค์ก็คง...ไม่ใช่แค่จำเราได้
แต่...พระองค์ไม่เคยจะลืมเราต่างหาก


ดังนั้น...
ในฐานะผู้เจริญรอยตามพระองค์ ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
ที่จะต้องเรียนรู้ที่จะใส่ทุกคนเข้าไปในใจของเราให้มากที่สุด
เพราะว่า จะได้ไม่มีใครตกหล่นไปจากบัญชี
"ไม่เคยลืม" ของเรา

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

บ๊ะจ่าง

สองสามวันที่แล้ว
มีคนใจดีเอาบ๊ะจ่างมาให้กิน
แต่ประเด็นคือ...
จำนวนคนต่อหน่วยของบ๊ะจ่างหารกันไม่ลงตัว
คือมีคนห้าคน แต่มีบ๊ะจ่างอยู่อันเดียว
ตอนนั้นทั้งทั้งที่หิว
แต่ก็...แบ่งกันกินเท่าที่มันมีนั่นแหละ

แต่...
วันนี้มีบ๊ะจ่างหลายอัน
กินกันคนละอัน ก็อิ่มดีนะ
แต่ข้างใน...รู้สึกแปลกแปลก
ทั้งทั้งที่ก็ทำมาจากที่เดียวกัน
คนมาส่งให้ก็เป็นคนเดียวกัน
เวลาที่กินก็ใกล้ใกล้เคียงกัน
แวดล้อมทั้งหมดของบ๊ะจ่างลูกนี่
เหมือนกับวันก่อนเด๊ะเด๊ะเลย

แต่...
บ๊ะจ่างวันนี้ ไม่ได้รสชาติเหมือนวันก่อน
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จะว่าไม่อร่อยก็ไม่ใช่
เพราะว่า..ก็อร่อยมากมาก
บ๊ะจ่างหมดไปแล้ว
แต่ความรู้สึก...ยังไม่จบ

คิดคิดไป...
พระเยซูคงรู้สึกแบบเดียวกัน
เวลาที่เชิญเราไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ
"พิธีงานเลี้ยง" ที่มีพระองค์เป็นเจ้าภาพ
แต่...
แขกของพระองค์ไม่ร่วมรับประทานกับพระองค์
รู้แล้วหละว่า...กินคนเดียว มันไม่อร่อยจริงจริงนะ
ต่อไปนี้...สัญญาว่าจะเตรียมตัวดีดี
ก่อนที่จะไปร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ครับ

ปล. เห็นหลายคนเหลือเกิน ไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ
แต่ไม่ออกไปรับศีลฯ ถ้าไม่มีบาปหนักจริงจริง
ไปนั่งกินเป็นเพื่อนพระองค์เถอะครับ (ไม่ใช่จ๋าขอ)
แต่... ผมขอ

...ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ...

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รถเมล์

วันเสาร์ที่ผ่านมา...
มีเหตุให้ต้องอาศัยบริการของ ข.ส.ม.ก.
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต... (ไม่ใช่ขึ้นรถเมล์ครั้งแรกนะ)
ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเมล์ยาวนานกว่า 3 ชม.

อากาศก็ร้อน ฝุ่นควันก็เยอะ แถมผู้คนบนรถเมล์ที่ล้นหลาม
ที่กล่าวมานี้...ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการเดินทางในรอบนี้
แต่...สิ่งที่ทำให้ต้องรู้สึกลำบาก คือ...
การจะต้องยืนบนรถเมล์เป็นเวลาสามชั่วโมง
ในสภาพที่ "ข้อเท้าของเราดันขึ้นตามราคาข้าว(ข้อเท้าแผลง)"

ในใจก็แอบคิดเหมือนกันว่า...
เรานี่บ้ารึเปล่า? ปวดขาแทบตาย
ยังทำตัวเป็นพระเอกลุกให้เด็ก สตรี และผู้อาวุโสนั่ง
ทั้งทั้งที่เราเองก็ได้นั่งตั้งแต่ต้นสายแล้ว
อีกใจก็คิดว่า...
ทำไงได้เราก็เป็นอย่างนี้ของเรามานานแล้ว

พอลงมาจากรถเมล์
น้องเยาวชนคนหนึ่งที่เดินทางไปด้วยกันก็เดินเข้ามาถามว่า...
"บราเดอร์ไม่เมื่อยเหรอ เห็นบ่นปวดขา
แล้วทำไมยังไปลุกให้คนอื่นนั่งอะ
เดี๋ยวนี้นะเด้อ เขาไม่จำเป็นต้องลุกให้นั่งแล้ว เท่าเทียม เท่าเทียม"
ในใจก็งงตัวเองเหมือนกัน แต่ตอบน้องคนนั้นไปว่า...
"ก้เด้อ..เกิดมาเป็นผู้ชาย เพื่อจะได้ลุกให้ผู้หญิงนั่งไงหละครับ"
"555 เน่าจริงจริงเลยอะเด้อ"
".........................." ไม่มีเสียงตอบจากผม (เพราะปวดขามากจริงจริง)

วันนั้นตอบไปแบบไม่คิดอะไร
แต่วันนี้มาคิด เฮ้ย เราตอบไปได้ไงว่ะเนี๋ย
เท่ห์อะ เทห์มากมาก (แอบชมตัวเอง)
คิดไปคิดมา ดูดูไป ตอนนี้เวลาขึ้นรถเมล์
มีผู้ชายน้อยคนเหลือเกินที่จะเอื้อเฟื้อให้เด็ก สตรี และผู้อาวุโสนั่ง
เพราะอะไรนะ...???

เป็นไปได้ไหมว่า พวกเราลืมกันไปแล้วว่า...
"เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง..หากแต่เรามีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นต่างหาก"
เหมือนกันพระองค์ผู้ทรงลงมาบังเกิดและตายเพื่อเรา...

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2551

สอบเสร็จแว้วววววว

ปิดเทอมแล้ว
อยากตะโกนดังๆจังเลย
แต่กลัวเขาจะหาว่า...
ไม่สุภาพ เป็นบราเดอร์อะไร
ดีใจออกนอกหน้าขนาดนั้น

วันนี้ทำไซโคฯ เทส
เป็นแบบประเมินบุคลิกภาพของตัวเราเอง
ทำก็สนุกดี แต่เบื่อตรงที่ต้องมานั่งฝนข้อสอบ
มี 567+175+180+84+9+70+8=?
เกือบๆพันข้อมั้ง เพราะมีแบบที่เป็นข้อเขียนด้วย
ทำตั้งแต่เช้า เสร็จบ่าย3 ทำไปทำมาเกือบแย่
เพราะรู้สึกว่าตัวเองโรคจิตขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากทำแบบทดสอบ

ชีวิตเรายังต้องให้เขาเอาไปประเมินว่า...
เราเป็นอย่างไรเลย แต่ก็ดีเป็นประโยชน์
เพื่อจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

เกือบลืมเล่าไป เมื่อวานไปเที่ยวชั้นไปน้ำตกเอราวัณมาที่กาญจฯ
เมื่อวานก็สุขดีอะ แต่ตอนนี้นั่งคันเพยิอเลย เพราะว่า...
แพ้น้ำ ที่สำคัญไม่ได้แพ้น้ำตกนะ แต่มาแพ้น้ำตอนที่อาบล้างตัว
เฮอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กำจริงๆๆๆๆๆๆๆ

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ดีใจ...ตาย

ตามประสาโลก...
อาจไม่ใช่เรื่องน่าดีใจ หรือชื่นชมยินดี
เมื่อมีใครสักคนที่เรารักหรือรู้จัก...จากไป

ช่วงอาทิตย์ที่แล้ว
น้องแนน เยาวชน (ที่เราก็ไม่แน่ใจว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก) ในมิสซัง
ได้กลับไปสู่อ้อมกอดของพระบิดาบนสวรรค์...
คุณพ่อหลายองค์ที่นี่ พูดถึงน้องแนนอย่างชื่นชมว่า...
น้องเค้าได้เป็นพยานและแบบอย่างของผู้มีความเชื่อจริงจริง
เพราะในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แม้ว่าจะป่วยเป็นโรคร้ายที่ไม่มีทางหายขาด
แต่... น้องก็ได้ยอมรับและมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาแห่งความเชื่อ
แถมยังได้ให้กำลังใจกับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดด้วย ว่าต้องวางใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า


บ่อยบ่อยในชีวิตที่คิดว่า... ถ้าวันนึงเราต้องตายจากไป
จะมีกี่คนกันนะที่ร้องไห้ให้เรา หรือว่า จะมีแต่คนที่ดีใจที่เราตายไป

แต่เมื่อเห็นชีวิตของน้องแนนแล้ว
เริ่มรู้สึกว่า...อยากให้มีคนดีใจในงานศพของเราบ้างเหมือนกัน
ไม่ใช่เพราะว่า.. “(ไอ้นี่)ตายซะได้ก็ดีนะ
แต่เพราะดีใจที่ว่า...
คนคนนี้เป็นคนที่ได้ดำเนินชีวิต
เป็นแบบอย่างและเป็นพยานถึงพระเจ้า
ที่เขาเชื่อถึงอย่างดีจริงจริง

ปล. ขอบคุณแนน แม้ไม่แน่ใจว่า เรารู้จักกันหรือเปล่า?
แต่ชีวิตของแนนได้ให้อะไรกับคนที่ไม่รู้จักอย่างบราเดอร์
เชื่อว่าแนนคงอยู่กับพระบนสวรรค์แล้ว วอนขอพระองค์
เผื่อบราเดอร์บ้างนะ แล้วบราเดอร์ก็จะภาวนาให้เหมือนกัน

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เรื่องหนักหนัก

ช่วงนี้มีสองสามเรื่องที่ต้องคิดหนักๆ
เรื่องแรก...
เรื่องเรียน
เรื่องที่สอง...
เรื่องรัก
แปลกไหม? เป็นบราเดอร์แล้วพูดอย่างนี้

เรื่องเรียน ก็เรื่องสารนิพนธ์
และก็งานอื่นๆ อีกเล็กน้อยที่จะต้องทำ
แล้วก็ต้องเตรียมตัวสอบด้วย

ส่วนอีกเรื่อง ก็เรื่องรัก
ช่วงปีหน้ามีภารกิจ...
ที่จะต้องออกไปฝึกชีวิตการเป็นอภิบาล
คิดไว้บ้าง แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจว่าจจะออกไปฝึกอะไรดี

อีกเรื่องที่ต้องคิดหนักๆ ก็เรื่องความรัก

ทั้งๆที่ก็คิดว่า... เราได้ตัดสินใจทางเดินของชีวิตไปแล้ว
แต่ ณ เวลานี้ คำถามของพ่อชายมันย้อนกลับมา
"จะนอนคนเดียวอีก 50 ปีข้างหน้าได้ไหม?"
คำถามสั้นๆที่เต็มไปด้วยประเด็นให้ขบคิด
เราในอีก 50ปีข้างหน้า จะเป็นอย่างไร
อยู่ที่ไหน? และกำลังทำอะไรอยู่นะ ชักอยากรู้แล้วสิ

คิดไปคิดมา ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า
"ไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย เพราะเรายังมีพระองค์
แถมยังมีผู้คนรอบกาย ที่จะต้องรัก รัก รัก แล้วก็รัก
พร้อมทั้งต้องรับใช้เขาในสิ่งที่เราได้เลือกที่จะเป็น
ไม่เหงาสักหน่อยนี่น่า เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"

เรื่องรักจบไป แต่เรื่องเรียนยังคิดไม่ตก
จะทำไงดี คงมีวิธีเดียว คือ เลิกคิดแล้วก็ลงมือทำสินะ
เฮ้อ!!! น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะ

ปล. เขียนจากอารมณ์เหงาๆของชีวิต
ตอนนี้พอเข้าใจแล้วว่า...
ทำไมคุณแม่เทเรซาถึงได้น้อยใจพระเจ้า
ก็เนอะเรายังเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกนี่น่า
ถึงจะบ่นก็เหอะ เราก็ยังรักพระองค์อยู่ดี

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

the Happiest Loser~*

ปีนี้ได้เข้าชิงบาสสองหน เมื่อวานนี้เป็นหนที่สอง
และเป็นหนที่สองที่เราเป็นพระรองไม่ใช่พระเอก
หนแรกที่บ้านเณรกับน้องปีหนึ่ง หนนี้กับสีเขียว

เมื่อวานนี้ เรานำก่อน แต่เราแพ้
สกอร์น้อยมากๆ 40 นาที
26-27 แต้ม เราทำ 11 แต้ม
แต่ก็ไม่ดีพอสำหรับเกมส์อัจฉริยะข้ามคืน (เอ๊ะ สงสัยจะไม่เกี่ยว)

แต่ทั้งๆที่แพ้กลับรู้สึกอิ่มใจอย่าบอกไม่ถูก
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
อาจจะเป็นเพราะ...
ขาเดินกลับมาจากสนาม
มีหลายคนที่ได้ให้กำลังใจ
แถมยังชมว่าเราเล่นได้ดี เล่นได้เก่ง
แอบดีใจ แถมลืมตัวไปพักนึง นึกว่าชนะ...
แอบคิดนิดนึงว่า... ชัยชนะที่พระเยซูเจ้าได้รับเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ
ชัยชนะต่อการยอมรับต่อทุกๆกิจการที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระองค์


ขอบคุณพระองค์ที่ได้สอนให้รู้ว่า
การเป็นคนแพ้ก็มีความสุขได้เหมือนกัน
ขอบคุณใครสักคนสำหรับกำลังใจที่ให้ส่งให้มาเมื่อวานเรามีเกมส์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
ขอบคุณเพื่อนๆสีฟ้า น้องๆสีแดง+สีเหลืองและคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้ออย่างสีเขียว
ขอบคุณเกมส์ที่ทำให้มีเกมส์ที่ยิ่งใหญ่ก่อนจบชีวิตนักศึกษาชั้นปรัชญา

ขอบคุณจริงจริง...

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551

~รอคอย~

ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนรัก
สำหรับใครหลายๆคน
อาจจะถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
แต่สำหรับผม
ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกดีดีไม่แพ้กัน
และบ่อยๆ ที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญ
และมีความพิถีพิถันมากทีเดียว คือ...
ช่วงเวลาของ การรอคอยเวลา
ที่จะได้พบกันคนที่ผมรัก


การรอคอย
เป็นเวลาที่จะรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะถูก
พยายามจะเตรียมนู่นเตรียมนี่ หรือนั่งคิดแล้วคิดอีกว่า...
จะแต่งตัวอย่างไร? จะทักทายว่าอะไรดี?
จะคุยเรื่องอะไร? ฯลฯ อีกสารพัดแถมยังมีบ่อยๆ
ที่แอบคิดจินตนาการไปเองต่างๆนานาว่า
มันน่าจะเป็นอย่างนู่น อย่างนี้ ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงๆ
แล้วก็แอบยิ้มที่มุมปากให้กับเหตุการณ์ในจินตนาการ
(ผมเชื่อว่า.. พวกคุณก็เคยเป็น)
เพื่อให้ช่วงเวลาสั้นๆที่จะเจอหรืออยู่กับคนรักของผม
เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพราะว่า...
เมื่อช่วงเวลาแห่งการรอคอยสิ้นสุดลง
การได้พบกับคนรักช่างมีความหมายเหลือเกิน

เพราะว่าผมได้เตรียมตัวอย่างดีที่สุดสำหรับ คนรักของผมแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทำให้คิดได้ว่า...
ปีนี้... เทศกาลพระคริสตสมภพที่ผ่านไป
เป็นช่วงเวลาที่ช่างมีความหมายมากมายเหลือเกิน
เพราะผมได้ใช้ช่วงเวลาแห่งการรอคอยนี้อย่างดี
ในการพยายามที่จะพยายามเตรียมตัวเอง
เพื่อต้อนรับองค์พระผู้ไถ่ผู้เสด็จมาบังเกิด...

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551

~...ใครสักคน..~

เคยนั่งมองตากับใครสักคนที่รักไหม?
หรือ เคยแอบมอง
ใครสักคนที่ชอบหรือเปล่า?
รู้สึกอย่างไรเหรอ
? มีความสุขใช่ไหมหละ
ตอนนี้... แอบยิ้มใช่ไหม(ผมรู้นะ) หน้าแดงด้วยหรือเปล่า
?

เคยไหม???
แม้ระหว่างกัน อาจจะไม่มีคำพูด หรือบทสนทนาใดๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจ

ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่า ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน สั้นแค่เพียงอึดใจ

และบ่อยๆที่เราใช้ดวงตาเพื่อสื่อสารความในใจของกันและกัน

และบ่อยๆที่การมีอยู่ของเขา ได้ทำให้เรารู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก

แล้วเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า
ทำไม การมีอยู่ของใครสักคน ช่างมีความหมายกับเราเหลือเกิน
ผมเคย... และคำตอบของผม
คงเป็นสิ่งที่ผมรับรู้ และรู้สึกได้

ผ่านทางการประทับอยู่ของพระองค์

ในศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความรัก ศีลมหาสนิท

ตรงมุมเล็กของวัด ...ในตู้ศีล...

แบบอย่างของพระองค์นี่เอง
ที่ทำให้ผมเรียนรู้ความสำคัญและตระหนักถึง

การมีอยู่ของทุกๆคนในชีวิตของผม

เหมือนกับที่พระองค์ได้ให้ความสำคัญ
กับการมีอยู่ของผมเช่นกัน

ปล. - ขอบคุณ ใครสักคน อีกหลายคน สำหรับการมีอยู่ของคุณทั้งหลายในชีวิตของผม
- ถ้าคุณมี
ใครสักคน เหมือนๆกันกับผม
อย่าลืม กลับไปขอบคุณ
ใครสักคน ของคุณด้วย สำหรับการมีอยู่ของเขา

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551

~bodyslam's language~

วันก่อนดูคอนเสิร์ต "Saving my life"
เป็นคอนเสิร์ตของบอดี้แสลม(ขวัญใจของผม)
เป็นอีกหนึ่งคอนเสิร์ตที่ประทับใจ
แม้ไม่ได้ไป แต่ประทับใจที่ได้ดู

เมื่อเช้าคุยกับเพื่อนเป็นภาษาบอดี้แสลม
เราบอกว่า "ถ้ายังไม่รัก แล้วจะ
อกหักได้หรือ?"
เพื่อนตอบมาว่า "อาจจะได้เพราะความรัก
ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ"
เราก็ตอบกลับไปว่า "อย่างงี้มันเรียกว่า
หวั่นไหวหรือเปล่า?"
เพื่อนเลยตอบกลับมาว่า "แต่รักเถอะเพราะ
ชีวิตเป็นของเรา"
เราก็เลยบอกว่า "แต่มันยิ่ง
ย้ำให้เจ็บช้ำเปล่าๆนะ"
เพื่อนก็ยังตอบกลับมาได้อีกว่า "ก็เพราะ
งมงายแล้วจะให้ทำอย่างไรได้"
เราเลยบอกว่า "รักแบบนี้คงพาเขาไปไม่ถึง
ขอบฟ้า"
เพื่อนตอบกลับมาว่า "ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอคนนั้นคือ
ปลายทาง"
อันที่จริงคุยกันยาวกว่านี้ แต่จำไม่ได้ทั้งหมดว่าคุยอะไรกันบ้าง

นึกไม่ออกเหมือนกันว่า...
ถ้าเอาเรื่องแบบนี้ไปคุยกับคนอื่น เขาจะเข้าใจเราหรือเปล่า?
อาจจะจริงอย่างที่ใครสักคนพูดว่า
"เพื่อนเป็นคนที่มีอะไรบางอย่างเหมือนๆกันกับเรา"

นึกได้แค่นี้แล้วก็แอบเศร้านิดนึงว่า "เรากำลังทอดทิ้งเพื่อนบางคนหรือเปล่า?"
เพราะมาคิดๆดูแล้ว ชีวิตของเราบางทีก็ไม่ค่อยจะเหมือนเพื่อนเยซูเท่าไรเลย
แต่ก็รู้สึกได้ว่า เพื่อนเยซูคงยอมรับเพื่อนกอร์นได้ ไม่ว่าเพื่อนคนนี้จะเป็นอย่างไร

ขอบคุณเพื่อนที่เข้าใจ และยอมรับในความเป็นตัวเรา
แม้เราจะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไร??
แต่ตั้งใจว่าสักวันจะเป็น จะรัก จะให้ จะจริงใจ ให้เหมือนกับที่เพื่อนเยซูเป็น

ปล.เพื่อนคนนั้น คือ
สมจินต์ ทรงสวัสดิ์วงศ์

(สำหรับคนที่อาจจะอ่านแล้วงงๆ
ตัวอักษรสีชมพู ในบทสนทนา
คือชื่อเพลงที่มาจากอัลบั้มทั้ง4ของ
บอดี้แสลม ครับ)

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

~...กับใคร ~

สองวันก่อนไปกิน sizzler
เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่เข้าไปเหยียบร้านนี้
เพราะครั้งแรกมีความทรงจำไม่ค่อยดีเท่าไร
อันที่จริงได้ปฏิญาณกลับตัวเองแล้วว่า จะไม่กลับเหยียบร้านนี้อีก
คิดอยู่นานเหมือนกันว่า...จะไปดีหรือไม่ไปดี
แต่เพราะนัดไว้กับเพื่อนแล้ว ก็เลยตัดสินใจไป

สถานที่ที่ร้านตั้งอยู่ รู้จักดี เพราะผ่านไปบ่อยๆ
เราไปถึงก่อนเวลาที่นัดกับเพื่อนไว้นิดหน่อย
แต่กลับเข้าไปทีหลังสุด
เพราะมัวแต่เดินวนไป วนมา
และรอจนกระทั่งเพื่อนเข้าไปหมดแล้ว
พอเขาเริ่มจะกินแล้วนั่นแหละ
เราก็ตัดสินใจที่จะเข้าไป
พร้อมกับท่าทีเหมือนกันกับว่า เราเพิ่งมาถึง

แต่ครั้งนี้ที่ไป ไปด้วยความรู้สึกที่ต่างจากครั้งแรก
น่าแปลกนะ...
ทั้งที่เราก็เป็นเราคนเดิม ร้านก็เป็นร้านเดิม(แต่ไม่ใช่สาขาเดิม)
แต่คงเป็นเพราะครั้งนี้ คนที่ไปด้วยครั้งนี้
ไม่ได้กดดันเราเหมือนคนที่ไปด้วยครั้งแรก

sizzler มื้อที่สองในชีวิต ไม่เหมือนมื้อแรก
ร้านนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดซะหน่อย
นึกๆก็ทำให้นึกถึงประโยคเน่าๆที่ชอบพูดบ่อยๆว่า
"ที่ไหนไม่สำคัญหรอก แต่สำคัญว่ากับใครต่างหาก"

ทำให้คิดต่อไปว่า สงสัยเวลาก่อนที่จะทรงลงมาบังเกิดพระองค์คงคิดว่า
"ในรางหญ้าหรือที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก แต่สำคัญว่ามาเพื่อเราทุกคนต่างหาก"

ปล. ขอบคุณผู้ร่วมโต๊ะอาหารมื้อนี้ทุกท่าน
คุณไม่รู้หรอกว่า ความมั่นใจหลายๆอย่างในชีวิตกลับมาได้
เพราะมื้ออาหารเล็กๆมื้อนี้ ขอบใจจริงๆ