วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551

~รอคอย~

ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนรัก
สำหรับใครหลายๆคน
อาจจะถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
แต่สำหรับผม
ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกดีดีไม่แพ้กัน
และบ่อยๆ ที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญ
และมีความพิถีพิถันมากทีเดียว คือ...
ช่วงเวลาของ การรอคอยเวลา
ที่จะได้พบกันคนที่ผมรัก


การรอคอย
เป็นเวลาที่จะรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะถูก
พยายามจะเตรียมนู่นเตรียมนี่ หรือนั่งคิดแล้วคิดอีกว่า...
จะแต่งตัวอย่างไร? จะทักทายว่าอะไรดี?
จะคุยเรื่องอะไร? ฯลฯ อีกสารพัดแถมยังมีบ่อยๆ
ที่แอบคิดจินตนาการไปเองต่างๆนานาว่า
มันน่าจะเป็นอย่างนู่น อย่างนี้ ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงๆ
แล้วก็แอบยิ้มที่มุมปากให้กับเหตุการณ์ในจินตนาการ
(ผมเชื่อว่า.. พวกคุณก็เคยเป็น)
เพื่อให้ช่วงเวลาสั้นๆที่จะเจอหรืออยู่กับคนรักของผม
เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพราะว่า...
เมื่อช่วงเวลาแห่งการรอคอยสิ้นสุดลง
การได้พบกับคนรักช่างมีความหมายเหลือเกิน

เพราะว่าผมได้เตรียมตัวอย่างดีที่สุดสำหรับ คนรักของผมแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทำให้คิดได้ว่า...
ปีนี้... เทศกาลพระคริสตสมภพที่ผ่านไป
เป็นช่วงเวลาที่ช่างมีความหมายมากมายเหลือเกิน
เพราะผมได้ใช้ช่วงเวลาแห่งการรอคอยนี้อย่างดี
ในการพยายามที่จะพยายามเตรียมตัวเอง
เพื่อต้อนรับองค์พระผู้ไถ่ผู้เสด็จมาบังเกิด...

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551

~...ใครสักคน..~

เคยนั่งมองตากับใครสักคนที่รักไหม?
หรือ เคยแอบมอง
ใครสักคนที่ชอบหรือเปล่า?
รู้สึกอย่างไรเหรอ
? มีความสุขใช่ไหมหละ
ตอนนี้... แอบยิ้มใช่ไหม(ผมรู้นะ) หน้าแดงด้วยหรือเปล่า
?

เคยไหม???
แม้ระหว่างกัน อาจจะไม่มีคำพูด หรือบทสนทนาใดๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจ

ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่า ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน สั้นแค่เพียงอึดใจ

และบ่อยๆที่เราใช้ดวงตาเพื่อสื่อสารความในใจของกันและกัน

และบ่อยๆที่การมีอยู่ของเขา ได้ทำให้เรารู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก

แล้วเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า
ทำไม การมีอยู่ของใครสักคน ช่างมีความหมายกับเราเหลือเกิน
ผมเคย... และคำตอบของผม
คงเป็นสิ่งที่ผมรับรู้ และรู้สึกได้

ผ่านทางการประทับอยู่ของพระองค์

ในศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความรัก ศีลมหาสนิท

ตรงมุมเล็กของวัด ...ในตู้ศีล...

แบบอย่างของพระองค์นี่เอง
ที่ทำให้ผมเรียนรู้ความสำคัญและตระหนักถึง

การมีอยู่ของทุกๆคนในชีวิตของผม

เหมือนกับที่พระองค์ได้ให้ความสำคัญ
กับการมีอยู่ของผมเช่นกัน

ปล. - ขอบคุณ ใครสักคน อีกหลายคน สำหรับการมีอยู่ของคุณทั้งหลายในชีวิตของผม
- ถ้าคุณมี
ใครสักคน เหมือนๆกันกับผม
อย่าลืม กลับไปขอบคุณ
ใครสักคน ของคุณด้วย สำหรับการมีอยู่ของเขา

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551

~bodyslam's language~

วันก่อนดูคอนเสิร์ต "Saving my life"
เป็นคอนเสิร์ตของบอดี้แสลม(ขวัญใจของผม)
เป็นอีกหนึ่งคอนเสิร์ตที่ประทับใจ
แม้ไม่ได้ไป แต่ประทับใจที่ได้ดู

เมื่อเช้าคุยกับเพื่อนเป็นภาษาบอดี้แสลม
เราบอกว่า "ถ้ายังไม่รัก แล้วจะ
อกหักได้หรือ?"
เพื่อนตอบมาว่า "อาจจะได้เพราะความรัก
ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ"
เราก็ตอบกลับไปว่า "อย่างงี้มันเรียกว่า
หวั่นไหวหรือเปล่า?"
เพื่อนเลยตอบกลับมาว่า "แต่รักเถอะเพราะ
ชีวิตเป็นของเรา"
เราก็เลยบอกว่า "แต่มันยิ่ง
ย้ำให้เจ็บช้ำเปล่าๆนะ"
เพื่อนก็ยังตอบกลับมาได้อีกว่า "ก็เพราะ
งมงายแล้วจะให้ทำอย่างไรได้"
เราเลยบอกว่า "รักแบบนี้คงพาเขาไปไม่ถึง
ขอบฟ้า"
เพื่อนตอบกลับมาว่า "ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอคนนั้นคือ
ปลายทาง"
อันที่จริงคุยกันยาวกว่านี้ แต่จำไม่ได้ทั้งหมดว่าคุยอะไรกันบ้าง

นึกไม่ออกเหมือนกันว่า...
ถ้าเอาเรื่องแบบนี้ไปคุยกับคนอื่น เขาจะเข้าใจเราหรือเปล่า?
อาจจะจริงอย่างที่ใครสักคนพูดว่า
"เพื่อนเป็นคนที่มีอะไรบางอย่างเหมือนๆกันกับเรา"

นึกได้แค่นี้แล้วก็แอบเศร้านิดนึงว่า "เรากำลังทอดทิ้งเพื่อนบางคนหรือเปล่า?"
เพราะมาคิดๆดูแล้ว ชีวิตของเราบางทีก็ไม่ค่อยจะเหมือนเพื่อนเยซูเท่าไรเลย
แต่ก็รู้สึกได้ว่า เพื่อนเยซูคงยอมรับเพื่อนกอร์นได้ ไม่ว่าเพื่อนคนนี้จะเป็นอย่างไร

ขอบคุณเพื่อนที่เข้าใจ และยอมรับในความเป็นตัวเรา
แม้เราจะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไร??
แต่ตั้งใจว่าสักวันจะเป็น จะรัก จะให้ จะจริงใจ ให้เหมือนกับที่เพื่อนเยซูเป็น

ปล.เพื่อนคนนั้น คือ
สมจินต์ ทรงสวัสดิ์วงศ์

(สำหรับคนที่อาจจะอ่านแล้วงงๆ
ตัวอักษรสีชมพู ในบทสนทนา
คือชื่อเพลงที่มาจากอัลบั้มทั้ง4ของ
บอดี้แสลม ครับ)

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

~...กับใคร ~

สองวันก่อนไปกิน sizzler
เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่เข้าไปเหยียบร้านนี้
เพราะครั้งแรกมีความทรงจำไม่ค่อยดีเท่าไร
อันที่จริงได้ปฏิญาณกลับตัวเองแล้วว่า จะไม่กลับเหยียบร้านนี้อีก
คิดอยู่นานเหมือนกันว่า...จะไปดีหรือไม่ไปดี
แต่เพราะนัดไว้กับเพื่อนแล้ว ก็เลยตัดสินใจไป

สถานที่ที่ร้านตั้งอยู่ รู้จักดี เพราะผ่านไปบ่อยๆ
เราไปถึงก่อนเวลาที่นัดกับเพื่อนไว้นิดหน่อย
แต่กลับเข้าไปทีหลังสุด
เพราะมัวแต่เดินวนไป วนมา
และรอจนกระทั่งเพื่อนเข้าไปหมดแล้ว
พอเขาเริ่มจะกินแล้วนั่นแหละ
เราก็ตัดสินใจที่จะเข้าไป
พร้อมกับท่าทีเหมือนกันกับว่า เราเพิ่งมาถึง

แต่ครั้งนี้ที่ไป ไปด้วยความรู้สึกที่ต่างจากครั้งแรก
น่าแปลกนะ...
ทั้งที่เราก็เป็นเราคนเดิม ร้านก็เป็นร้านเดิม(แต่ไม่ใช่สาขาเดิม)
แต่คงเป็นเพราะครั้งนี้ คนที่ไปด้วยครั้งนี้
ไม่ได้กดดันเราเหมือนคนที่ไปด้วยครั้งแรก

sizzler มื้อที่สองในชีวิต ไม่เหมือนมื้อแรก
ร้านนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดซะหน่อย
นึกๆก็ทำให้นึกถึงประโยคเน่าๆที่ชอบพูดบ่อยๆว่า
"ที่ไหนไม่สำคัญหรอก แต่สำคัญว่ากับใครต่างหาก"

ทำให้คิดต่อไปว่า สงสัยเวลาก่อนที่จะทรงลงมาบังเกิดพระองค์คงคิดว่า
"ในรางหญ้าหรือที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก แต่สำคัญว่ามาเพื่อเราทุกคนต่างหาก"

ปล. ขอบคุณผู้ร่วมโต๊ะอาหารมื้อนี้ทุกท่าน
คุณไม่รู้หรอกว่า ความมั่นใจหลายๆอย่างในชีวิตกลับมาได้
เพราะมื้ออาหารเล็กๆมื้อนี้ ขอบใจจริงๆ