วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รักนอกใจ

"..ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น.."
เป็นหนังเกี่ยวกับความรักอีกเรื่องหนึ่ง
ที่หนังจบ..แต่..อารมณ์ไม่จบ

เป็นเหตุให้.. เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
เงินในกระเป๋าจำนวนหนึ่งต้องมีอันเป็นไป
เพราะตั้งใจไว้นานแล้วว่า...
ถ้าออกแผ่น จะต้องเป็นเจ้าของมันให้ได้

สองจากสี่ตอนในหนังเรื่องนี้
ตรงกับชีวิตจริงของเรามักมาก
คือ
รักเพื่อน และ รักนอกใจ

แต่เมื่อได้มีโอกาสแชร์กับเพื่อนเพื่อน
ทำให้ได้ข้อสรุปกับตัวเอง ว่า...
ที่ชอบมากที่สุดคงเป็นตอน 'รักนอกใจ'
(ขอยืนยันว่า ไม่ใช่เพราะ...
'น้องอ้อย'-AOI แน่นอน)555+
...แต่ชอบเพราะเรื่องราวจิงจิง

ตอนดูก็นั่งดูแบบตลกตลก ไม่คิดมาก
แต่...
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่าง เหิร กับ นวล
อันเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
ที่ผูกพันกันถึงสี่ปีในชีวิตมหาวิทยาลัย
กลับต้องมาจบลง เพราะตัวแปรเพียงสองตัว
คือ..
ระยะทางที่ห่างของเวลาและหัวใจ...
แม้ในตอนจบ จะลงเอยแบบมีความหวัง
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตจริง..
บทสรุปของความสัมพันธ์จะจบได้แบบนี้หรือเปล่า?

ทำให้ต้องย้อนกลับมามองว่า
ระยะทางของ'เรา'กับ'พระ'ห่างกันหรือเปล่า?
และกี่ครั้งแล้วที่เรานอกใจพระองค์ไป...

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2551

intensive relationship

ตอนนี้...
เรียนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น
เรียนอยู่ศูนย์ภาษา พักอยู่บ้านสวน
เข้าสวดและร่วมมิสซาที่บ้านเณร

Course ที่เรียนกัน เป็นแบบ intensive จริงจริง
เรียนกันห้าคน กับอาจารย์ห้าคน ในห้องใหญ่ใหญ่
วันวันต้องอยู่กับภาษาอังกฤษอย่างน้อยหกชั่วโมง
เหนื่อยหน่อยแต่ก็สนุกดี กับประสบการณ์ใหม่นี้
ทำให้รู้สึกว่าตัวเราเอง ยังโง่ได้อีก ยังเรียนรู้ได้อีก

วันนี้ มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จักกันจะชวนไปทานข้าว
บอกเค้าว่า "พี่จะเลี้ยงไหวหรือเปล่า?"
พี่เค้าว่า "แค่น้องพี่คนเดียว ทำไมพี่จะเลี้ยงไม่ไหว"


เราก็เลยตอบไปแบบที่อยากให้พี่เค้าคิดต่อ กวนกวนตามสไตล์เรา

"แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ เพราะว่าผม..."
"บ้าหนะ แกอย่าบอกนะว่าแกออกแล้ว" น้ำเสียงพี่เค้าดูตกใจน่าดู
เห็นหน้าพี่เค้าแล้ว ก็ต้องตอบแบบยิ้มยิ้มว่า "ยังไม่ออกพี่..."
สีหน้าพี่ดูดีขึ้น "แล้ว...ทำไมไม่ได้อยู่คนเดียวอะแก"
"อ้าว.. ก็ผมอยู่กับเพื่อนอีกตั้งห้าคน ถ้าจะเลี้ยงผมก็ต้องเลี้ยงเพื่อนด้วยดิ"
ทันใดแกก็ถึงบางอ้อ "อ๋อฉันรู้แล้ว... กวนจริงจริงนะแกเนี๊ยะ"
สรุปที่สุด ก็ไม่ได้ไป เพราะว่าเวลาว่างยังไม่ตรงกัน
(อยากบอกพี่ว่า ไม่เป็นไรโอกาสอื่นยังมี)

อันที่จริง ตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวจริงจริง (แม้ว่าจะต้องนอนคนเดียว)
แต่อยู่กับเพื่อนสนิทกลุ่มนี้ (บราเดอร์เณรใหญ่กรุงเทพฯปีอภิบาลปีนี้)
จะว่าไปแล้วเราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่มอสี่ ที่บ้านเณรเล็ก
ผูกพันกันมาก็ร่วมร่วมสิบกว่าปีแล้วหละ

แต่รอบนี้ เป็นการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไป
เพราะว่าเราต้องอยู่ร่วมกัน และก็มีกันอยู่แค่ห้าคนจริงจริง
แม้ว่าจะมีการได้พบปะผู้คนอยู่เรื่อยเรื่อย
แต่เวลาส่วนใหญ่
ก็ยังคงเป็นเวลาที่เราใช้อยู่ด้วยกันอยู่ดี
รู้สึกลึกลึกว่า เราใกล้ชิดกันในความสัมพันธ์กันมากขึ้น
ทั้งทั้งที่ก็มากอยู่แล้ว เราเรียนรู้กันมากขึ้น
นี่คือสาเหตุที่ไม่ได้บอกพี่เค้าไปว่า ไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว
ตอนนั้น... บอกไปอาจจะดูกวนกวน แต่ก็รู้สึกอย่างนั้นจริงจริง
(ยังไงก็ตามถือโอกาสบอกตอนนี้เลยละกัน)

และเมื่อลองนึกทบทวนดู
พระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ อยู่ด้วยกันแค่สามปี
แต่ความสัมพันธ์กับหยั่งลึกและผูกพันมากมาย
ถึงขนาดยอมตายแทนกันได้
ทำให้เกิดคำถามกับตัวเองว่า...
"สิบกว่าปีแล้วนะ กล้าตายแทนมันได้ยังว่ะ"

ขอบคุณพระเจ้าที่จัดเตรียมแผนการณ์นี้สำหรับเรา
ขอบคุณเพื่อนเอท เพื่อนมะ เพื่อนเอ้ และเพื่อนแมกซ์
ตั้งใจแล้วว่า อีกครึ่งเดือนที่เหลืออยู่ยังไม่สายไป
ที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันดีดี เขียนเสร็จรู้สึกอุ่นอุ่นที่เบ้าตายังไงไม่รู้
ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งจากจริงใจ จากใจจริง กับคำว่า "เพื่อน" ที่มีให้กัน

ปล. ใครพลาดที่จะบอกเพื่อนไป
หรือเคยมีประสบการณ์ก็แชร์กันมาได้นะ
อยากฟังการแบ่งปันจากทุกคนนะ
อย่าลืม! ลงลึกในความสัมพันธ์กับเพื่อนด้วยนะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2551

~ไม่เคยลืม~

วันก่อนนู้น...
ไปเดินตลาดแถวแถวนี้
บังเอิญว่า ไปเจอน้องคนหนึ่ง
แว่บแรกที่หันไปเห็นจะจะ
มั่นใจทันทีเลยว่า "กูรู้จัก"

แต่หลังจากที่คิดได้ว่า รู้จักแล้ว...
คำถามที่ตามมาคือ ใครวะ???

ช่วงนี้เป็นอย่างนี้ประจำ ประจำจริงจริง
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า...
ทำไม!จำได้ว่ารู้จัก
แต่กลับจำไม่ได้ว่า...เป็นใคร?

ใครที่เคยอยู่ในช่วงเวลาแบบนั้นคงเข้าใจอาการนี้ดี

จะทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ได้
แต่...ถ้าจะบอกว่าจำไม่ได้
น้องเค้าเสียความรู้สึกน่าดู

"..เด้อจำหนูได้ป่ะ???"
"(นึกอยู่นานมาก)........ ใช่ไหม เด้อจำได้น่า"
"โอ้โฮ อุตส่าห์จำหนูได้ นึกว่าเด้อจะจำหนูไม่ได้แล้วหละ"
"ไม่ใช่ว่าอุตส่าห์จำได้นะ แต่เพราะไม่เคยจะลืมต่างหาก"
"โอ้โห...เด้อ เน่ามากมากอะ 5555+"
แอบดีใจเหมือนกัน ที่วันนั้นทักน้องคนนั้นไม่ผิด
ไม่ได้จำว่าได้คุยอะไรกันต่ออีกบ้าง
จำได้แต่ว่า น้องเค้ารู้สึกดีมากมากที่เราไม่ลืมเค้า

มานั่งนึกถึงตัวเองเหมือนกัน
ถ้าใครสักคนที่เราคิดว่ารู้จักดี หรือว่าเค้ารู้จักเราดี
เกิดจำเราไม่ได้ขึ้นมาบ้างในบางเวลา
ถึงตอนนั้น... เราจะรู้สึกอย่างไร???

ทำให้ได้ตั้งใจกับตัวเองว่า...
ต่อไปนี้ จะไปหาmemoryดีดีสักสี่จิ๊กกะไบต์มาใส่หัว (ไม่ใช่!!)
จะได้ไม่ทำให้ลืมว่าเคยรู้จักใครบ้าง
ไม่ทำให้ลืมว่าเค้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร?

เพราะว่า...
พระเจ้าเองพระองค์ก็คง...ไม่ใช่แค่จำเราได้
แต่...พระองค์ไม่เคยจะลืมเราต่างหาก


ดังนั้น...
ในฐานะผู้เจริญรอยตามพระองค์ ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
ที่จะต้องเรียนรู้ที่จะใส่ทุกคนเข้าไปในใจของเราให้มากที่สุด
เพราะว่า จะได้ไม่มีใครตกหล่นไปจากบัญชี
"ไม่เคยลืม" ของเรา

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

บ๊ะจ่าง

สองสามวันที่แล้ว
มีคนใจดีเอาบ๊ะจ่างมาให้กิน
แต่ประเด็นคือ...
จำนวนคนต่อหน่วยของบ๊ะจ่างหารกันไม่ลงตัว
คือมีคนห้าคน แต่มีบ๊ะจ่างอยู่อันเดียว
ตอนนั้นทั้งทั้งที่หิว
แต่ก็...แบ่งกันกินเท่าที่มันมีนั่นแหละ

แต่...
วันนี้มีบ๊ะจ่างหลายอัน
กินกันคนละอัน ก็อิ่มดีนะ
แต่ข้างใน...รู้สึกแปลกแปลก
ทั้งทั้งที่ก็ทำมาจากที่เดียวกัน
คนมาส่งให้ก็เป็นคนเดียวกัน
เวลาที่กินก็ใกล้ใกล้เคียงกัน
แวดล้อมทั้งหมดของบ๊ะจ่างลูกนี่
เหมือนกับวันก่อนเด๊ะเด๊ะเลย

แต่...
บ๊ะจ่างวันนี้ ไม่ได้รสชาติเหมือนวันก่อน
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จะว่าไม่อร่อยก็ไม่ใช่
เพราะว่า..ก็อร่อยมากมาก
บ๊ะจ่างหมดไปแล้ว
แต่ความรู้สึก...ยังไม่จบ

คิดคิดไป...
พระเยซูคงรู้สึกแบบเดียวกัน
เวลาที่เชิญเราไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ
"พิธีงานเลี้ยง" ที่มีพระองค์เป็นเจ้าภาพ
แต่...
แขกของพระองค์ไม่ร่วมรับประทานกับพระองค์
รู้แล้วหละว่า...กินคนเดียว มันไม่อร่อยจริงจริงนะ
ต่อไปนี้...สัญญาว่าจะเตรียมตัวดีดี
ก่อนที่จะไปร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ครับ

ปล. เห็นหลายคนเหลือเกิน ไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ
แต่ไม่ออกไปรับศีลฯ ถ้าไม่มีบาปหนักจริงจริง
ไปนั่งกินเป็นเพื่อนพระองค์เถอะครับ (ไม่ใช่จ๋าขอ)
แต่... ผมขอ

...ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ...

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รถเมล์

วันเสาร์ที่ผ่านมา...
มีเหตุให้ต้องอาศัยบริการของ ข.ส.ม.ก.
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต... (ไม่ใช่ขึ้นรถเมล์ครั้งแรกนะ)
ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเมล์ยาวนานกว่า 3 ชม.

อากาศก็ร้อน ฝุ่นควันก็เยอะ แถมผู้คนบนรถเมล์ที่ล้นหลาม
ที่กล่าวมานี้...ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการเดินทางในรอบนี้
แต่...สิ่งที่ทำให้ต้องรู้สึกลำบาก คือ...
การจะต้องยืนบนรถเมล์เป็นเวลาสามชั่วโมง
ในสภาพที่ "ข้อเท้าของเราดันขึ้นตามราคาข้าว(ข้อเท้าแผลง)"

ในใจก็แอบคิดเหมือนกันว่า...
เรานี่บ้ารึเปล่า? ปวดขาแทบตาย
ยังทำตัวเป็นพระเอกลุกให้เด็ก สตรี และผู้อาวุโสนั่ง
ทั้งทั้งที่เราเองก็ได้นั่งตั้งแต่ต้นสายแล้ว
อีกใจก็คิดว่า...
ทำไงได้เราก็เป็นอย่างนี้ของเรามานานแล้ว

พอลงมาจากรถเมล์
น้องเยาวชนคนหนึ่งที่เดินทางไปด้วยกันก็เดินเข้ามาถามว่า...
"บราเดอร์ไม่เมื่อยเหรอ เห็นบ่นปวดขา
แล้วทำไมยังไปลุกให้คนอื่นนั่งอะ
เดี๋ยวนี้นะเด้อ เขาไม่จำเป็นต้องลุกให้นั่งแล้ว เท่าเทียม เท่าเทียม"
ในใจก็งงตัวเองเหมือนกัน แต่ตอบน้องคนนั้นไปว่า...
"ก้เด้อ..เกิดมาเป็นผู้ชาย เพื่อจะได้ลุกให้ผู้หญิงนั่งไงหละครับ"
"555 เน่าจริงจริงเลยอะเด้อ"
".........................." ไม่มีเสียงตอบจากผม (เพราะปวดขามากจริงจริง)

วันนั้นตอบไปแบบไม่คิดอะไร
แต่วันนี้มาคิด เฮ้ย เราตอบไปได้ไงว่ะเนี๋ย
เท่ห์อะ เทห์มากมาก (แอบชมตัวเอง)
คิดไปคิดมา ดูดูไป ตอนนี้เวลาขึ้นรถเมล์
มีผู้ชายน้อยคนเหลือเกินที่จะเอื้อเฟื้อให้เด็ก สตรี และผู้อาวุโสนั่ง
เพราะอะไรนะ...???

เป็นไปได้ไหมว่า พวกเราลืมกันไปแล้วว่า...
"เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง..หากแต่เรามีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นต่างหาก"
เหมือนกันพระองค์ผู้ทรงลงมาบังเกิดและตายเพื่อเรา...