วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550

~ความสมบูรณ์~

วันนี้ไปนั่งคุยกับแม่เพื่อนมา
คุยกันหลายเรื่อง...

จำไม่ได้ว่าคุยเรื่องอะไรกันอยู่
แต่คำถามหนึ่งน่าสนใจ
"บราเดอร์มีเงินเยอะเหรอ ถึงได้ให้เขาไป"
ตอบแม่เค้ากลับไปว่า
"เพราะผมได้มาเยอะ เลยรู้สึกว่าจะต้องแบ่งปัน"

ตอนตอบไปไม่ได้คิดอะไรเท่าไร
แต่ตอนกำลังจะนอนมานั่งคิด
เพราะว่าได้มาเยอะ
จึงทำให้รู้สึกว่า...
จะต้องให้ ต้องแบ่งปันออกไป
แต่ที่แบ่งออกไป
กลับไม่รู้สึกว่า...
ได้เสียอะไรไป
ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่า
ได้กลับมาเยอะกว่าที่ได้ให้ไป

สำหรับพระองค์คงมีเยอะมาก
เยอะจนกระทั่งให้ได้แม้ชีวิต
คิดอย่างนี้แล้ว ไม่สงสัยเลยว่า
พระผู้เป็นเจ้าของผมสมบูรณ์แค่ไหน

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550

~ สู่กัลวาริโอ...~

ช่วงนี้กำลังเตรียมงานคริสต์มาสอยู่ที่วัดกาลหว่าร์
งานคริสต์มาสที่นี่อาจจะเหนื่อยนิดหน่อย
เพราะมีอะไรที่ต้องทำเยอะ แต่สนุก
ที่นี่คุณพ่อใจดี ซิสเตอร์ก็ใจดี สัตบุรุษก็น่ารัก
...ชอบที่นี่จริงๆ...

แต่ถึงจะมาเป็นปีที่สองแล้ว เพิ่งจะรู้ว่า
ชื่อวัดกาลหว่าร์ มาจาก คำว่า "Calvary"
ภูเขาที่พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อไถ่เรานั่นเอง
ได้ยินชื่อภูเขานี้ในเทศกาลอันน่าชื่นชมยินดี
ทำให้คิดได้ว่า...
"พระองค์เกิดมาเพื่อใครและเกิดมาทำไม"
การมารับสภาพเป็นมนุษย์ของพระองค์บนโลกนี้
ช่างมีความหมายมากเหลือเกิน สำหรับเรามนุษย์ทุกคน

คริสต์มาสปีนี้ที่วัดกาลหว่าร์
ทำให้ตระหนักมากขึ้นว่า
เราเกิดมาเพื่อจะต้องตาย
ตายต่อตัวเอง ตายจากความรักตัวเอง

เพื่อจะเกิดใหม่ในความรักและมีชีวิตเพื่อคนอื่น

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2550

~ ของขวัญ ~

อาทิตย์ที่ผ่านมา
มีโอกาสได้ไปจัดงานคริสต์มาส(ล่วงหน้า)
ให้กับเยาวชนคลองครุ

หลังจากวจนพิธีกรรมจบ
ก็มีแลกของขวัญกับเล่นบิงโก
ตามภาษาของคนหน้าตาไม่ดีแต่ดวงดี
เราก็ได้ของเต็มเลย
ทั้งตุ๊กตา กระติกน้ำแข็ง ชุดกิ๊ฟเซ็ตเครื่องใช้ ฯลฯ

แต่น่าแปลกที่ตอนขากลับ
กลับไม่ได้แบกของที่ได้กลับมาซักอย่าง
เพราะว่า...
จับของขวัญได้มาก็เอาไปแจกเขา
เล่นบิงโกได้มาก็เอาไปแจกเขา
สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่า...
ตอนนั้นกินอะไรผิดสำแดง หรือ อะไรเข้าสิง

แต่รู้สึกว่า...
ของขวัญที่แบกกลับมาด้วย มันใหญ่กว่าของที่แจกไป
พร้อมกับรู้สึกว่า หัวใจมันพองโตขึ้นจนคับอก

และนี่เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่า
สุขจากการได้รับ
ไม่สุขเท่า กับการได้ให้

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2550

~รักนะ...~

จำได้ว่าเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นของคุณปราย'พันแสง
จำเนื้อเรื่องทั้งหมดไม่ได้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร?

แต่ประทับใจประโยคหนึ่งที่ชายคนหนึ่งพูดกับหญิงคนรักว่า
"คิดถึงนะแต่ไม่บอกหรอก แต่ถึงไม่บอกก็ยังคิดถึงอยู่ดี"
มันเป็นประโยคที่ใช้บอกสิ่งที่อยู่ในใจ
ที่เหมือนกับว่าไม่อยากจะแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้
ผ่านวิธีการพูดเก๋ๆน่ารัก ตามภาษาของผู้ชายช่างคิดคนนั้น
แต่ก็แสดงออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม

เราก็เลยเอามาแปลงแบบไม่ขอเจ้าของประโยคว่า
"รักนะแต่ไม่บอกหรอก แต่ถึงไม่บอกก็ยังรักอยู่ดี"

สำหรับเรา "การบอกรักใครสักคน"
ไม่ใช่แค่เพียงคำพูดที่บอกกับคนๆนั้นเท่านั้น
แต่...
การบอกรักนี้มันมากกว่าคำพูด
เพราะเพียงคำพูด บ่อยๆก็ไม่สามารถยืนยันหนักแน่นได้
แต่จะต้องออกมาจากหัวใจ และไปที่การกระทำด้วย
เหมือนกับที่พระผู้เป็นองค์ความรักได้มาทำให้เราดูจริงไหม
และจริงกว่านั้น ในการบังเกิดมาของพระองค์

ใครว่าจริงยกมือขึ้น...

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2550

~ ทำเป็นไม่ทัก... ~

สองวันก่อน
มีคนให้ข้อสังเกตแรงมากๆว่า
เป็นบราเดอร์ต้องหัดนอบน้อมบ้าง
รู้จักทักรู้จักไหว้คนอื่นก่อนบ้าง
ไม่เสียหายหรอก ไม่ใช่ทำหน้าเฉยๆ

ในใจเราก็คิดว่า
เราก็ทักทายทุกคนนะ เว้นแต่มองไม่เห็นก็อีกเรื่องนึง
เพราะโดยปกติแล้ว ถ้าโตกว่าเรา เราก็จะทักก่อนทุกที
แต่ถ้าเป็นรุ่นน้อง เราก็จะเฉยๆก่อน
ถ้าเขามองแล้วมีทีท่าว่าอยากคุยด้วย เราก็ทักนะ

แต่โดยส่วนตัว อันที่จริงแล้วเราก็กลัวว่า
บางที บางคนอาจจะไม่อยากให้เราทัก
หรือไม่อยากทักเรา พอเราทักไป
ก็เลยต้องทักตอบและก็คุยแค่เป็นมารยาท
คิดว่าถ้าทำอย่างนี้
ก็จะทำให้รู้สึกอืดอัดไปทั้งคู่เปล่าๆ
(ไม่รู้ว่าคิดละเอียดมากไปหรือเปล่า
?)

แต่ยังไงเราก็รับฟัง สิ่งที่คนอื่นแนะนำและให้ข้อสังเกตนะ
อาจจะเป็นไปได้ที่บุคลิกของเราอาจจะไม่เข้าตา ดูดุดุ หยิ่งหยิ่งบ้าง
เลยทำให้หลายคนกลัว เอาเป็นว่าจะปรับแล้วกัน

เรื่องก็มีอยู่ว่า...
เมื่อวานนี้ เดินไปเจอใครเราก็ทักก่อนเลย ไม่แบ่งรุ่นน้องรุ่นพี่
ปรากฏว่า รุ่นน้องหลายคนก็ติงมาอีกว่า
พี่อยากทักก่อนดิ เสียความรู้สึกยังไงไม่รู้

เป็นผู้ใหญ่ต้องรอให้เด็กทักจึงจะถูก
ไม่ใช่มาทักเด็กก่อน
ผิดนะเนี๊ยะ ผิดนะเนี๊ยะ

อ้าวเป็นงั้นไป
หลังจากที่ทำตัวไม่ถูกมาสองวัน
วันนี้ เลยลองก้มหน้าก้มตาเดิน
ไม่ทักใครเลยในใจอยากรู้เหมือนกันว่า...

จะมีใครให้คอมเม้นท์อะไรเราอีกหรือเปล่า
???

ปรากฏว่ามี...
มันบอว่า
พี่รีบไปตามควายที่ไหนหรือเปล่า?”
ซะอย่างงั้น เฮ้อ ชีวิต


ทำให้คิดได้ว่า ...ทุกๆการกระทำในชีวิตของเรามีผลเสมอ
อาจจมีผลด้านเดียว สองด้าน หรือมากกว่านั้น

อาจจะมีบางด้านที่เป็นที่พอใจ ชอบใจ ปลื้มใจ สนับสนุน หรือว่าเห็นด้วยกับเรา

แต่ในทางกลับกัน ก็อาจจะมีอีกด้านไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ไม่ปลี้มใจ ไม่สนับสนุน
หรือว่าไม่เห็นด้วยกับเรา
หรือ อาจจะมีบางด้านที่รู้สึกว่าเฉยๆ ทั้งชอบและไม่ชอบ ฯลฯ


วันนี้คิดได้ว่า...ที่สุดแล้วไม่ว่าการกระทำจะเป็นอย่างไร???
นั่นก็คือตัวเรา นั่นคือเรา เป็นอย่างที่เราเป็น

เป็นตัวเราให้ดีที่สุดและเป็นในอย่างที่พระเยซูต้องการให้เราเป็น

เพราะไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร พระก็รักเราอยู่แล้ว

เรื่องจะมีคนชอบหรือไม่ชอบ ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ ก็เท่านั้น

ทำต่อไปเหอะ ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งดีและถูกต้อง

เพราะว่าไม่สำคัญมากมายนักถ้าเราจะทำดีขัดใจใคร
แต่สำคัญกว่าถ้าเราไม่ทำดีเพราะกลัวคนตำหน

อย่ากลัวที่จะทำในสิ่งที่ดีและถูกต้อง เพราะฉะนั้น...
ิมาทำดีกัน ให้คนที่ไม่ชอบเราอกแตกตายกันไปเลยดีกว่า จริงมะ
ผมล้อเล่นหนะนะ เป็นกำลังใจให้สำหรับการมุ่งหน้าสู่ความบริบูรณ์ในพระเจ้ากันต่อไปครับ

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2550

~ ขอทาน 22112007 ~

เมื่อวานไปหาหมอที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
ขากลับตอนบ่ายเดินผ่านแถวบางรัก
เจอผู้ชายคนหนึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นขอทาน
เพราะว่านั่งอยู่ที่พื้น ถือกะลาใบนึง
แต่ที่ได้แค่สันนิษฐานเพราะว่า...
ชายคนนี้ก็กำลังฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพีสามอยู่ แถมยังใส่แว่นดำด้วย
แล้วกะลาที่ถืออยู่ก็ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ยื่นออกมาขอเงินอีกด้วย

จะยื่นเงินให้ก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะโดนด่าเหมือนยายป้าคนที่เพิ่งเดินผ่านไป

ขอทานบอกป้าว่า ให้เงินทำไมยังไม่ได้ยื่นกะลามาขอเงินเลย


โอ้วชีวิต...
เพิ่งเคยเจอขอทานเลือกคนให้เงินอย่างนี้ครั้งแรกในชีวิต เป็นงงไปเลย...

เห็นยายป้าแล้วก็ทำให้คิดว่า
หลายครั้งในชีวิต ก็เคยเหมือนกันที่ทำดีแต่ไม่ค่อยได้ดี
บางทีก็ถูกปฏิเสธ บางทีถึงกับถูกต่อว่าต่อขานก็มี

จึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า
ถ้าทำดีแล้วไม่ได้ผลดีตอบแทน ยังจะทำดีต่อไปหรือเปล่า?

มานึกอีกที ในทางกลับกัน
นึกถึงขอทานแล้วก็ฮาจริงๆ เพราะก็เป็นเหมือนตัวเราในบางครั้ง
ทั้งที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังต้องการ
ที่สำคัญยังปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีกด้วย
สกลนคร เอ้ย ยโส(ธร)ซะไม่มี